วันนี้ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ซึ่งต้องบอกเลยว่าผมตื่นมาแบบสะโหลสะเหลมาก @_@ เพราะเมื่อคืนเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตี 1 ทั้งจากฤทธิ์ยาถ่ายที่บลานุภาพแข็งแกร่งข้ามคืน และอาการเครียดจากการนั่งคำนวณเงินค่าใช้จ่ายช่วงที่จะไปถึงที่เนเธอร์แลนด์ด้วย เลยทำให้ผมเริ่มต้นเช้านี้แบบไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร
ผมออกเดินทางไปที่โรงพยาบาลพร้อมกับแม่และน้า โดยไปถึงที่นั่นประมาณ 7.15 น. ซึ่งผมคิดว่าเร็วมากพอ (ก็ในใบนัดเขียนนัดไว้ 8.00 - 9.00 น. นี่หว่า = =") แต่พอไปถึงห้องส่องกล้องแล้ว ปรากฏว่า มีคนมารออยู่ก่อนแล้วเกือบสิบคิว แม่เจ้าาา แถมแต่ละคนที่มาส่องกล้องก็มีแต่คนสูงอายุทั้งนั้น มีเราเป็นวัยรุ่นอยู่คนเดียว ลุงป้าน้าอาทั้งหลายก็เลยมองเราด้วยสายตาแปลกๆประมาณว่า "มึงมาที่นี่ทำไวะ?"
แต่อย่าคิดว่าการไป 7 โมง 15 จะทำให้อะไรๆเร็วขึ้น เพราะกว่าพยาบาลจะเรียกชื่อผมก็ปาเข้าไป 10 โมงแล้ว!!! แล้วไอ้ความรู้สึกระหว่างที่รอเรียกคิวแล้วเห็นลุงๆป้าๆแต่ละคนทยอยโดนเรียกเข้าไปแล้วมันหงุดหงิดอย่างแรง ทำไมไม่ถึงคิวซะทีวะ จนผมบ่นกับแม่ว่าจะไม่ตรวจแล้วด้วยซ้ำไป แต่แม่ตอบกลับมาว่า "อุตส่าห์อดข้าวอดน้ำ ถ่ายท้องมาแล้ว อยากทำฟรีก็ตามใจ" นั่นแหละผมถึงใจเย็นลงได้ (ใครจะบ้ายอมให้การยอมท้องเสียเกือบครึ่งคืนสูญเปล่าฟะะะ)
พอพยาบาลเรียกผมเข้าไปซักอาการ ก็มีการแจ้งค่าใช้จ่ายในการรักษาว่าประมาณ 7000-10000 บาท (ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายจริงๆมันเท่าไหร่ ถามแม่แม่ก็ไม่ยอมบอก -.-) พร้อมกับให้แม่เซ็นรับทราบกรณีเกิดเหตุแทรกซ้อน เช่น ถ่ายเป็นเลือด ปวดท้อง (อันนี้ไม่เท่าไหร่เพราะเป็นบ่อย) แต่มาชะงักตรงคำว่า "อวัยวะภายในทะลุ" ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากกการที่ท่อกล้องที่ชอนไชเข้าไปในร่างกายเราอาจจะไปจิ้มกระเพาะหรือลำไส้เราเป็นรูได้ ซึ่งมีโอกาสเกิดประมาณ 1% แหน่ะ บ๊ะแล้วไง =[]= (แล้วเราจะเป็น 1% นั้นหรือเปล่าว้าาา T^T) ต่อมาพยาบาลก็ให้ผมไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดเตรียมส่องกล้อง ซึ่งก็จะมีเสื้อคลุมกับกางเกง แต่กางเกงมันพิเศษตรงที่มันเป็นรูบริเวณก้นเราด้วย แล้วกางเกงในก็ห้ามใส่ นาทีนั้นพูดเลยว่า ลมเย็นมากกกกก
สภาพชุดเตรียมส่องกล้องที่คล้ายๆกับชุดอาบน้ำ แถมต้องใส่หมวกด้วยนะเออ =.,= (ขอเข้าห้องน้ำมาถ่ายรูป 5555)
พอเปลี่ยนชุดเสร็จ พยาบาลก็พาผมไปให้น้ำเกลือ ซึ่งปกติที่ผมเคยเข้าโรงพยาบาลเอกชนหลายๆที่ เค้าจะให้ผมกำมือให้แน่นแล้วเค้าจึงจะจิ้มเข็ม แต่ที่นี่แปลกมาก (ไม่รู้โรงพยาบาลรัฐเป็นแบบนี้หมดรึเปล่า) เพราะเค้าไม่ให้ผมกำมือ แต่กลับจิ้มทั้งๆที่ยังแบมือ ซึ่งมันปวดมากกก พอพยาบาลถามว่าปวดมั้ย แล้วผมบอกว่ามันปวด ผลที่ได้คือ พยาบาลชักเข็มออกแล้วจิ้มใหม่ข้างเดิมนั่นแหละ!!! โอ้ยยย จะไม่ทายาชาให้ใหม่ก่อนเลยรึไงว้าาา สุดท้ายก็ปวดเหมือนเดิม กำมือไม่ได้ แต่ไม่กล้าบอกว่าปวดใหม่แล้ว เดี๋ยวโดนซ้ำ -*-
หลังจากนั้นผมก็นอนบนเตียงไปแบบไม่มีอะไรทำ เพราะต้องรอจนกว่าเค้าจะเรียกชื่อไป ซึ่งเค้าก็ไม่เรียกซะที กว่าจะเรียกก็บ่าย 2 ครึ่งแล้ว (เพิ่งมาทราบทีหลังว่าความจริงผมไม่มีคิวส่องกล้องวันนี้ แต่หมอพยายามยัดๆมาให้เพื่อจะได้เดินทางทันกำหนด เลยได้เป็นคิวสุดท้าย) ทีนี้ตอนที่เข้าไปนี่แหละ นรกของจริง พยาบาลเริ่มด้วยการพ่นยาชาลงไปในคอของผม รสชาติไม่ต่างกับยาถ่ายเมื่อวานเลย แถมยังต้องอมไว้ก่อนค่อยกลืนด้วย แล้วไม่ถึง 1 นาทีดี ยาชาก็เริ่มออกฤทธิ์ ผมรู้สึกจุกที่ลำคอมาก กลืนน้ำลายเหมือนไม่เข้าคล้ายกับหมากฝรั่งติดคอ ซึ่งหมอแจ้งว่าเป็นอาการของฤทธิ์ยาชา แล้วหมอก็ให้ออกซิเจนผมแล้วเริ่มแหย่กล้องลงทันที หน้าที่ของผมคือ ต้องกลืนไอ้ท่อนี้เข้าไปให้ได้ พยาบาลก็บอกให้หายใจทางจมูก อย่ากลั้นหายใจหรือหายใจทางปาก เดี๋ยวจะอ้วก ซึ่งใครจะไปทำได้ ก็ปากโดนบังคับให้อ้าอยู่ เวลาหายใจทางจมูก ลมมันก็เข้าปากอยู่ดีนั่นแหละ -.- แถมไอ้ท่อส่องกล้องนี่มันยังสามารถพ่นลมเข้าไปในกระเพาะและลำไส้เราได้ด้วย และเราก็จะรู้สึกมวนท้องจากกลิ่นพีวีซีของท่อ หมอก็พ่นเข้าดูดออกโคตรจะถี่ ผมไม่ใช่ลูกโป่งงานวัดนะคร้าบบบ T^T
ผมติดอยู่ในสภาพนั้นราว 15 นาที กว่าหมอจะเอาท่อออกจากคอ ตอนนั้นความรู้สึกคือหมดแรง ทรมาน ยิ่งกว่าโดนข่มขืนอีก พอได้ยาแก้ปวดที่พยาบาลฉีด ซึ่งมันมีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอนด้วย ผมก็เลยเผลอหลับไปดื้อๆเลย เลยไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง มารู้สึกตัวอีกทีตอนออกมาจากห้องส่องกล้องแล้ว ซึ่งตอนนั้นอะไรๆก็ดีขึ้นมาพอสมควรแล้ว พยาบาลก็ให้ออกมาแต่งตัวกลับเป็นชุดเดิม ถอดสายน้ำเกลือ แล้วรอพบหมอ ซึ่งหลังจากพบหมอแล้ว หมอแจ้งว่า พบแผลอักเสบที่ลำไส้และกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นมานานจนเรื้อรัง และหมอก็ได้เก็บชิ้นเนื้อบางส่วนไปเพื่อวินิจฉัยว่า ผมมีโรคอื่นๆอย่างที่ผมกลัวด้วยหรือเปล่า แต่แค่หมอไม่ได้พูดถึงเนื้องอกหรือมะเร็ง ผมก็สบายใจไปเปาะนึงละ (หรือแค่ไม่อยากพูดก็ไม่รู้ พอแม่ถามเอาแต่บอกว่ารอผลแล็บอย่างเดียวเลย)
ผลแล็บชิ้นเนื้อของผมจะออกมาในวันที่ 18 นี้ ซึ่งตอนนั้นผมคงบินไปอยู่เนเธอร์แลนด์แล้ว และหมอก็จัดยามาให้กินชุดนึงสำหรับ 10 วัน หมายความว่าผมก็ต้องหอบยาพวกนี้ไปทัวร์กับผมที่ Venlo ด้วย แต่เอาเถอะ ถ้ามันทำให้อาการมันดีขึ้นจริงๆ จะต้องกินอีก 20 วันก็ยอม แต่ไอ้แบบที่ต้องทรมานทรกรรมแบบส่องกล้องนี่ไม่เอาแล้วนะ ฮรือววว T^T
เพื่อนคู่กาย(?)ของผมตลอด 10 วันต่อจากนี้ (มีตัวนึงต้องกินตั้งเดือนนึงแหน่ะ)
และแล้ววันนี้ก็ผ่านไปอีกวัน ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดี...