สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน (จะมีหรือไม่มีก็สวัสดีไว้ก่อนล่ะ)
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564
ใช่ครับ นับตั้งแต่บล็อกสุดท้ายที่ผมเขียนไว้ในวันที่บินกลับจากเนเธอร์แลนด์ ก็ผ่านมากว่า 28 เดือนแล้ว หรือถ้านับเป็นวันก็ปาเข้าไป 851 วันเข้าให้แล้ว
เรียกได้ว่า ถ้าเปรียบบล็อกนี้เป็นดั่งบุคคลคนหนึ่ง ตอนนี้ก็น่าจะเป็นบุคคลหายสาบสูญจนถึงจุดที่ครอบครัวคงทำใจและปรับตัวได้กับการใช้ชีวิตที่ไม่มีเขาไปเรียบร้อยแล้วแหละ (แต่คาดว่าครอบครัวก็คงจะไม่ได้รู้สึกขาดอะไร เพราะจริง ๆ ก่อนหน้านี้ก็เป็นบุคคลเหลวแหลกอยู่แล้ว รอบก่อนก็หายไปตั้ง 933 วัน ถ้าเป็นครอบครัวจริง ๆ คงโบกมือบ๊ายบายมรดกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ถถถถ)
แต่นั่นแหละครับ อดีตก็คืออดีต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปัจจุบัน ฉะนั้น ให้คิดเสียว่าผมไม่เคยหายไปก็แล้วกันเนอะ (แม้บางคนจะคิดว่าบล็อกนี้ไม่เคยมีอยู่แล้วก็ตามที 5555)
เอาล่ะ แก้ตัวชี้แจงเสร็จเรียบร้อยก็กลับเข้าประเด็นกันเถอะ...
**********
ก่อนอื่น เนื่องจากบล็อกสุดท้ายคือวันที่ผมกลับจากเนเธอร์แลนด์สู่ประเทศไทยนู่นเลย ผมรู้สึกว่าผมควรอัปเดตแพทช์แบบคร่าว ๆ ก่อนดีกว่า ว่า 851 วันนี้ผมหายไปไหนมา
นับจากวันที่กลับเข้าสู่ประเทศไทย ศิริวัฒน์ในวัย 22 ปีใช้เวลากว่า 4 เดือนในการร่อนเร่หางาน และใช้เงินเก็บจากเนเธอร์แลนด์เกือบทั้งหมดไปกับการเอาชีวิตรอดระหว่างการหางาน ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงแล้วก็น่าเขกหัวตัวเองที่ก่อนนั้นไม่เคยคิดเลยว่า 1. งานมันไม่ได้หาง่ายเหมือนการยื่น CV สมัครเข้าสมาคมนักเรียนสมัยมหาวิทยาลัย และ 2. ในระหว่างที่หางาน คนเราก็ยังต้องกินต้องใช้ (โว้ย)
เป็นไงล่ะครับ สุดยอดชาวนา... นาที่ย่อมาจาก Naive น่ะ //กุมขมับ
หลังจากที่ยื่นสมัครไปหลายที่ บ้างก็เงียบหาย บ้างก็พยายามจะชวนให้เราไปทำตำแหน่งอื่นที่เราไม่มีสกิลใด ๆ บ้างก็ปฏิเสธว่าคาแรกเตอร์ไม่เหมาะกับงาน (ซึ่งจริง ๆ เรื่องนี้สามารถเล่าและบ่นเป็นพอดแคสต์ได้เลย) สุดท้ายผมก็ได้รับเข้าทำงานในตำแหน่งงานสาย IT Consulting ณ บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าเป็นบริษัทที่ดี และเพื่อน ๆ พี่ ๆ ร่วมงานดีมากกกกก (สาบานต่อหน้าหลอดไฟว่าไม่ประชด เพราะทุกคนดูแลเราดีมากจริง ๆ) และตอนนี้ผมก็ทำงานที่นี่มาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปีแล้วครับ โดยที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสได้บินไปทำงานที่ต่างจังหวัดกว่าค่อนปีด้วย
แน่นอน ขึ้นชื่อว่าเป็น Consulting Firm แล้ว คอนเซปต์ของ "Work ไร้ Balance" น่าจะเป็นที่โจษจันกันดี ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากกว่านี้ว่าทำไมถึงหายไปทั้งพอดแคสต์และบล็อกนะครับ //ปาดน้ำตา
และนั่นก็คืออัปเดตสถานการณ์ปัจจุบันของผมฮะ (แน่ะ คิดว่าจะมีอะไรน่าสนใจล่ะสิ 5555)
**********
ส่วนเหตุผลที่อยู่ดี ๆ ก็กลับมาเขียนบล็อกนี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยครับ นอกจากการที่วันนี้เป็นวันส่งท้ายเดลต้า อ้าแขนรับโอมิครอน เอ๊ย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ อันเป็นเทศกาลแห่งการนั่งทบทวนความบัดซบและล้มเหลวของชีวิตตัวเอง ก่อนจะนั่งดราฟต์เป้าหมายในชีวิตเป็น New Year's Resolution ให้คนผู้ไฟแรงได้ตั้งมั่นแรงกายแรงใจเพื่อที่จะบรรลุมัน... เป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนจะพบว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นใจให้คุณเลย แล้วก็โยนปณิธานที่ตั้งใจร่างเสียดิบดีลงถังขยะก่อนจะนั่งรถไปนั่งกินบุฟเฟ่ต์ที่ราคาปรับขึ้นถ้วนหน้าตามประสายุคหมูแพงเพื่อย้อมใจว่า "ในวันที่เราล้ม ในวันที่เราพลาด ยังมีบุฟเฟ่ต์ 399 บาทเป็นเพื่อน"...
...ขอโทษทีฮะ พอดีผมคงคิดดังและเพลินไปหน่อย But you get my point, right? 5555
ซึ่งในเทศกาลทบทวนตัวเองแบบนี้ ผมก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมานั่งไล่เหมือนกัน แล้วก็พบว่า จริง ๆ ตั้งแต่กลับจากเนเธอร์แลนด์มา ก็อุทิศเวลาไปกับการหางาน ต่อด้วยการทำงาน ทุ่มทุนสร้างกับ KPI ในงานจนไม่ได้มีโอกาสมานั่งอุทิศเวลาให้ทบทวน KPI ในชีวิตเลยว่าตัวเองเป็นอย่างไร
ว่าแล้วก็เลยถือโอกาสนี้ประเมินผลประกอบการทางชีวิตเลยแล้วกัน ว่าตลอด 851 วันนี้ มีอะไรที่รู้สึกว่าตัวเองในวัยเบญจเพสหมาด ๆ เปลี่ยนไปจากตัวเองในฐานะเด็กจบใหม่บ้าง...
พอเขียนมาจนถึงตอนนี้ ก็รู้สึกได้ว่า เห้ย ทำไมเหมือนเราเคยเขียนอะไรแบบนี้ไปแล้วเลยวะ ซึ่งคำตอบก็คือ ใช่ครับ ตอนครบรอบ 5 ปีที่อยู่เนเธอร์แลนด์ ไอ้ตัวผมคนนี้ก็เขียนวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปของตัวเองเหมือนกัน นี่มันมุกซ้ำชัด ๆ เลยนี่หว่า ซ้ำแบบคนเขียนจำไม่ได้เองอีกต่างหาก lol
แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าเนื้อหามันเปลี่ยน มันก็คือคอนเทนต์ใหม่ จริงไหม? ดีเสียอีกที่จะได้เทียบความเปลี่ยนแปลงระหว่าง 2 ช่วงเวลา (แถ่ด ๆ ๆ ๆ ๆ //ไม่เสียงเฮลิคอปเตอร์ก็เสียงสีข้างแถนี่แหละ)
So, here goes nothing...
**********
จากการทบทวนแล้ว มีอยู่หลายสิ่งในชีวิตผมที่เปลี่ยนไป แต่ The change of all changes ที่เป็นตัวการชัด ๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงแทบทุกอย่างเลย คือเรื่อง "เวลา" ครับ
ในวัยแห่งการเรียน คุณมีเวลาว่างที่ค่อนข้างจะชัดเจน ว่าเวลาไหนคือเรียน เวลาไหนคือว่าง (และบางครั้งเราก็สามารถเสกเวลาเรียนเป็นเวลาว่างได้ด้ว--- //หยอก ๆ) และถึงแม้จะมีกิจกรรม extra-curricular ทั้งหลายในฐานะกรรมการทำงานสมาคมนักเรียนต่าง ๆ มันก็ยังจะชัดเจนอยู่ดีว่าเวลาไหนคือแพลนงาน เวลาไหนคือจัดงาน
แต่พอมาทำงานสายนี้แล้ว เราแยกไม่ออกจริง ๆ ว่าเวลาไหนคือเวลางาน ทั้งที่จริง ๆ แล้ว งานสายนี้ก็ไม่ได้บังคับให้คุณต้องทำงานล่วงเวลานะ มีเพียงแค่รายการ task ที่คุณต้องทำ กับ deadline ที่คุณต้องส่ง ส่วนคุณจะใช้วิธีไหนทำให้มันสำเร็จออกมา มันก็อยู่ที่ความสามารถและวิธีการบริหารจัดการของคุณ แต่ด้วยปริมาณ workload ที่มองเห็นแล้วได้แต่อุทาน อห ที่ไม่ใช่โอ้โหอยู่ตลอดเวลา นอกเหนือไปจาก task ตายตัวระหว่างเวลางาน (เช่น meeting ทั้งหลาย) มันก็กลายเป็นว่า เพื่อให้งานมันเสร็จทัน deadline แล้ว "ทุกเวลามันต้องเป็นเวลางานได้" หมดจริง ๆ
คือคนอาจจะมองผมบริหารจัดการเวลากากเอง หรือทำงานช้าเองก็ได้ (ซึ่งก็น่าจะจริง) แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า "Crunch Culture" แบบนี้มันไม่ค่อยจะดีต่อสุขภาพกายและใจสักเท่าไหร่ พูดแล้วก็นึกถึงตอนต้นปีที่ผมต้องหอบแลปทอปทำงานไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนเพราะมีประชุมลากยาวเกิน schedule และพอประชุมจบ ทุกคนก็กินข้าวเสร็จกันหมดจนเตรียมจะกลับแล้ว วันนั้นก็คือนั่ง MRT กลับไปร้องไห้ที่บ้านเลย
แต่เอาเถอะ พักการบ่นเรื่องงานไว้ก่อน เดี๋ยวจะยาว (ว่าแล้วก็สวัสดีครับพี่ ๆ ที่ทำงานบางท่าน ผมรู้นะว่าอ่านอยู่ รู้แล้วเหยียบไว้นะครับ คิดเสียว่าผมเขียนบ่นบนกำแพงห้องน้ำแล้วกัน ฮาาา)
พอยน์คือ พอเข้าสังคมการทำงานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งาน Consulting มันทำให้เวลาชีวิตผมหายไปเยอะมาก และแน่นอนว่าเวลาที่เราเคยสามารถอุทิศให้กับสิ่งที่เรามี Passion กับมันได้ มันก็หายไปด้วย
แล้วคุณดู Passion แต่ละอย่างของผมสิครับ...
...บอร์ดเกม? จะเล่นได้ คุณต้องมีเวลา socialize จนมีเพื่อนพอจะไปเล่นก่อนหรือเปล่านะ ยังไม่รวมการหาจังหวะเวลานัดเล่นอีก
...พอดแคสต์? อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะด้วยงานที่ต้องประชุมถี่และทำให้หูไม่ว่างเสียมาก ทำให้โอกาสได้ฟังเพลงหรือพอดแคสต์ลดลงไปด้วย ซึ่งปีก่อนยังไม่เท่าไหร่ แต่ปีนี้แทบไม่ได้ฟังพอดแคสต์สักเทป แม้แต่รายการในเครือสามโคกเรดิโอที่ตัวเองอยู่ก็ตามที (ถึงขั้นไม่มี Spotify Wrapped ของปีนี้เลย คือไม่มีสักนาทีจริง ๆ) ส่วนการจะจัดรายการก็ต้องมีเวลาในการตัดต่อเสียง ทำปก ลงเทป และอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า Passion ที่ผมมีต่อทั้งบอร์ดเกมและพอดแคสต์ (หรือแม้แต่การเขียนบล็อก) ไม่ได้น้อยลงไปจาก 851 วันก่อนเลย แต่ในวินาทีที่คุณมีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์เท่าเดิม แต่มีรายการสิ่งที่จะต้องทำเพิ่มขึ้น และดันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสียด้วย มันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องยอมสละเวลาของ Passion เหล่านั้นลงไป
เคยเห็นคลิปวีดีโอสอน Time Management ที่เราเห็นกันตั้งแต่อ้อนแต่ออกไหมครับ ที่สมมติเวลาเป็นขวดโหล และ task ต่าง ๆ เป็น ของใส่ขวดโหล เผื่อใครนึกไม่ออกเดี๋ยวผมแปะไว้ข้างล่างแล้วกัน
ตอนจบคลิปเขาเขียนไว้ว่าอะไรนะ? "It all fits!"? All fits my ass, more like.
จากคลิปจะเห็นได้ว่า เขานิยามของ Big, Medium และ Small tasks ของเขาไว้ตามนี้ครับ
- Big = Important things that happens regularly, at a set time. (สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นประจำ เป็นเวลาชัดเจน)
- Medium = Important and must happen routinely, but the time is up to you (สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นเป็นกิจวัตร แต่เวลาขึ้นอยู่กับเรา)
- Small = Necessary, but flexible, can be done at any time and fit in easily around other tasks (สิ่งจำเป็นที่ทำเมื่อไหร่ก็ได้ และแทรกอยู่ระหว่างหน้าที่อื่น ๆ ได้ง่าย)
ทีนี้ ลองกลับมามองขวดโหลของผมบ้าง ถ้ามองในมุมของความสำคัญที่ควรจะต้องหย่อนมันลงไปเป็นอันดับแรก (บอลลูกใหญ่) ก็ควรจะเป็นเรื่องงาน แต่ด้วยความที่งานที่ทำอยู่มันไม่มี set time ชัดเจน มีโอกาสถูกปรับตลอดเวลา มันก็เปรียบเหมือนบอลที่มันขยับอยู่ตลอดเวลา แถมบางครั้งยังมีโอกาสงอกเหมือนไฮดรามาในโหลได้อีก ซึ่งแน่นอนว่าพอบอลลูกใหญ่มันขยับมาก ๆ มันก็จะไปเบียดไปกระแทกลูกบอลอื่น ๆ ทั้งบอลการเข้าสังคม และบอล Passion ของผมจนมันหลุดออกจากโหลได้ จนตอนนี้แค่เก็บบอลเวลานอนไว้ในโหลได้ก็อยากจะฉลองแล้ว 5555
อย่างไรก็ดี หวังว่าปีหน้านี้ผมจะสามารถจัดการเวลาได้ดีขึ้นเพื่อให้มีเวลาทำในสิ่งที่รัก (อื่น ๆ นอกจากงานที่รัก) บ้างแล้วกันนะครับ
Finger crossed.
**********
อีกหนึ่งเรื่องที่สัมผัสได้แบบชัดเจนว่าเปลี่ยนไป คือ ความต้องการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นของผมนี่มันสูงขึ้นจากเดิมจนน่าแปลกใจ...
...เอ่อ พอเขียนแบบภาษาไทยแล้วมันดูความหมายประหลาด ๆ แฮะ ใช้คำว่า Human Interaction ก็แล้วกัน แหะ ๆ
อาจจะเป็นเพราะว่า 2 ปีที่ผ่านมานั้นมันเป็นจังหวะโป๊ะเชะกับสถานการณ์โควิดพอดี ที่ทำให้ Human Interaction มันลดลงกว่าที่ควรจะเป็นไปมาก แต่การเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน อยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร มันก็แทบจะเป็น 60% ของชีวิต Introvert ของผมในเนเธอร์แลนด์อยู่แล้ว มันก็ไม่น่าจะเดือดร้อนผมมากสิ มันควรจะเป็นสวรรค์ Introvert เสียด้วยซ้ำ
แต่เปล่าเลย New Normal นี้มัน Abnormal เกินกว่าที่ผมจะทนไหวแล้ว ยิ่งบวกกับเวลาที่งานขโมยไปทั้งจากเพื่อนและจากผม ยิ่งทำให้โอกาสจะได้ติดต่อพูดคุยกับเพื่อนยิ่งน้อยลง ประกอบกับการที่ผมไม่ค่อยจะเหลือเพื่อนที่สามารถคุยด้วยได้เท่าไหร่แล้วด้วยแล้ว... นี่มันนรกชัด ๆ
ทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่าผม appreciate ทุก ๆ บทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนขึ้นมาก ๆ หรือแม้แต่คนที่ไม่ได้สนิทก็ตามแต่ ยิ่งถ้าสามารถจะใช้เวลาคุณภาพด้วยกันได้ จะยิ่งรู้สึกมีความสุขมาก ๆ เลย ทั้งที่ในบล็อกเมื่อ 5 ปีก่อน ก็เป็นผมนี่แหละที่พูดว่า "การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนนั้นมันเหนื่อย" เองแท้ ๆ
ไม่แน่ใจว่า มันถึงเวลาที่ผมควรจะต้องทำ MBTI รอบใหม่แล้วไหม เพราะผมอาจจะไม่ใช่ INTP อีกแล้ว?
หรือจริง ๆ แล้ว แม้แต่ Introvert เองก็ต้องการใครสักคนให้ได้แลกเปลี่ยนและรับฟังปัญหาของกันและกันนาน ๆ ทีนะ...
**********
เรื่องสุดท้ายที่รู้สึกว่าเปลี่ยนไปนับจากวัยเรียนสู่วัยทำงาน คือเรื่องที่มีให้เครียดครับ
ในวัยเรียน สิ่งที่เราต้องคิดก็มีแต่ว่า เราจะต้องผ่านวิชานี้ เราจะต้องทำเกรดให้ถึงเท่านี้ เราจะต้องเขียนธีสิสให้เสร็จ แล้วเราจะได้กลับไทยไปแฮปปี้ซะที (<<< อันนี้ก็ความคิดชาวนาอีฟอีกเช่นเคย ประเทศไทยเป็นไงบ้างล่ะไอซ์ ถถถถ) แต่พอผ่านวัยเรียนเข้าสู่โลกของการเป็นผู้ใหญ่ เรารู้สึกว่ามันมีเป้าหมายให้ทำเต็มไปหมด และไม่ได้มีใครมาบอกเราด้วยว่าเป้าหมายไหนที่ต้องทำหรือควรทำ
อันนี้ไม่แน่ใจว่าทุกคนที่กำลังอ่านอยู่มีคอเกมอยู่บ้างไหม แต่ถ้าจะให้เทียบ มันเหมือนวันที่เราเริ่มเล่นเกมแนว Open-world เป็นครั้งแรกน่ะครับ เควสต์เนื้อเรื่องมันก็มีแหละ แต่เควสต์เบี้ยบ้ายรายทางมันก็เยอะเหลือเกิน นั่นแหละครับ การเป็นผู้ใหญ่นี่มันสไตล์นั้นเลยจริง ๆ
ทีนี้ พอมันไม่มีใครมาบอกว่าอะไรต้องทำหรือควรทำ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินหลงเข้าร้านบุฟเฟต์ (นี่มึงยังไม่จบกับร้านบุฟเฟต์อีกเหรอ! //คิดแทนคนอ่าน) ที่ชื่อว่า "ชีวิต" แบบไม่มีรีวิวนั่นแหละ
ถ้าคุณไม่ลองทุกเมนู คุณจะรู้ไหมว่า ร้าน "ชีวิต" เนี่ย มันมีเมนูเด็ดอะไรบ้าง บางทีเนื้อกบที่อยู่มุมร้านตรงนั้นแล้วเรามองข้าม มันอาจจะเป็นสิ่งที่อร่อยที่สุดในร้านก็ได้ 5555
แต่ถ้าคุณเลือกที่จะตักเอง คุณก็มีโอกาสจะเจอแจ็กพอตเจออาหารที่ไม่อร่อยที่จะสปอยล์มื้ออาหารของคุณไปจนจบมื้อ (เคยสั่งอะไรในร้านบุฟเฟต์ที่รสชาติแย่จนไม่อยากกินอย่างอื่นต่อแล้วไหมฮะ?)
ฉะนั้น ด้วยสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์แล้ว ผมก็เลือกทำในสิ่งที่ผมมักจะทำเวลาเข้าร้านบุฟเฟต์ คือมองรอบตัว แล้ว "ลอก" ครับ...
...เพื่อนมัธยมคนนี้มีรถแล้วเหรอ อ่า งั้นผมตักรถใส่จาน
...รุ่นพี่คนนั้นเพิ่งซื้อคอนโดเหรอ โอเค งั้นเราตักที่ซุกหัวนอนใส่จานบ้าง
...รุ่นน้องคนโน้นมีเวลาฝึกภาษาที่สามเหรอ ดีจัง ขอตักการพัฒนาตัวเองใส่จานด้วยสิ
...เพื่อนต่างโรงเรียนอีกคนเงินเดือนปาไป 6 หลักแล้วเหรอ บ้าน่า เอาล่ะ ตักเงินเดือนสูง ๆ มาด้วยละกัน
ตักไปตักมา ก้มมามองดูจานของตัวเองอีกที มันก็ล้นจนไม่น่าทานไหวเสียแล้ว กินไม่หมด ทำไงดี? ยาแก้จุกเสียดยี่ห้อ "คนรับฟัง" ก็ขาดตลาดอยู่เสียด้วย แต่ในเมื่อตักใส่จานมาแล้ว ครั้นจะเขี่ยทิ้งหรือหยิบคืนมันก็คงไม่งาม ตักมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบสิ
กลั้นใจตักเงินเดือนสูง ๆ เข้าปากเป็นคำแรก "เห้ย! อร่อยอยู่นะ สมแล้วที่ทุกคนตักใส่จาน แต่ชิ้นเดียวก็เกือบอิ่มแล้ว ละที่เหลือจะทำยังไงหล่ะ?"
พอตักการพัฒนาตัวเองเข้าปากบ้าง "เฮือก! ทำไมมันฝืดคอขนาดนี้วะ! ไอ้คนที่เราลอกมาเขากลืนลงไปได้ยังไงวะเนี่ย!"
คำแล้วคำเล่าที่เข้าปาก อร่อยบ้างไม่อร่อยบ้างก็ต้องกิน จนตอนนี้รู้สึกจุกและทรมานเหลือเกิน นี่ยังไม่ได้กินรถกับที่ซุกหัวนอนที่อยากกินที่สุดเลยด้วยซ้ำ
แต่ไม่ว่าคำต่อไปมันจะอร่อยน่ากินแค่ไหน ก็ไม่อยากจะเอาอะไรเข้าปากอีกแล้ว
อุปมายาวขนาดนี้ พอจะเห็นภาพขึ้นไหมครับ แหะ ๆ
ผมเป็นแบบนั้นมาตลอด 2 ปี และเพิ่งจะมารู้ตัวเอาป่านนี้ว่า ร้านบุฟเฟต์นี้มันมีปริมาณอาหารไม่สิ้นสุด และมนุษย์ธรรมดาจะกินทุกอย่างน่ะไม่ได้หรอก (เว้นแต่คุณจะเป็นรัฐบาลนั่นแห---) และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องพยายามจะกินมันทุกอย่าง ทั้งที่ก็ไม่ได้มีใครบังคับหรือคาดหวังว่าผมจะต้องกินให้ครบทุกอย่างเสียด้วยซ้ำ หรืออาจจะเป็นเพราะเราเองที่ตัดใจไม่ตักบางอย่างใส่จานไม่ได้
พอคิดได้แบบนี้แล้ว ช่วงนี้ก็เลยเป็นช่วงของการ "วางแผนพิชิตร้านบุฟเฟต์" ครับ ตัวอย่างก็เช่น "ซูชิมันหนักท้อง หยิบแค่อันที่ชอบ ไม่งั้นเดี๋ยวกินเนื้อได้ไม่เยอะ" อะไรแบบนี้น่ะครับ หลายคนน่าจะเข้าใจผมนะ 5555
อย่างไรก็ดี ไอ้การวางแผนที่ว่านี่แหละครับ ที่เป็นตัวการทำให้เราเครียด เพราะเราก็มีของที่อยากกิน มีสิ่งที่อยากทำอยู่มากมาย และเราไม่แน่ใจว่าเราจะกินมันไหวไหม จนบางครั้งเราก็เสียเวลาในขวดโหลไปมากมายกับการวางแผน ซึ่งการเข้าร้านบุฟเฟต์มันไม่ควรจะต้องมาใช้สมองขนาดนี้ไหมโว้ย!
บางครั้งก็ได้แต่อิจฉาคนที่อยากจะตักอะไรใส่จานก็ได้เพราะจานเขาใหญ่ ขณะที่จานเราเล็กก็ทำได้แต่ต้องบริหารจัดการ...
...แต่ระหว่างที่พิมพ์อยู่นี่ก็มีเสียงตัวเองแว้บเข้ามาในหัว
"มึงไม่ได้จำเป็นต้องตักทุกอย่างใส่จานมากินพร้อม ๆ กันในรอบเดียวนะไอซ์"
เออออออ จริงด้วย! รู้สึกปลดล็อกสุด ๆ นี่หรือเปล่าคำตอบของคำถาม อาร์คีมีดีสตอนตะโกนยูเรก้าก็คงรู้สึกประมาณนี้แหละมั้ง ถ้าไม่พิมพ์บล็อกนี้ก็จะคิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาไม่ได้นะ 5555
แต่ก็นั่นแหละครับ ความเครียดที่เปลี่ยนไปของผม ขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน ไม่งั้นจะได้เดินเข้าร้านบุฟเฟต์จริง ๆ ละ ยิ่งพิมพ์ยิ่งหิว
**********
Nobody said it was easy.
No one ever said it would be this hard.- "The Scientist" by Coldplay
ถึงกับต้องอัญเชิญเนื้อเพลงของ Chris Martin และชาวคณะมาเลย (แม้ว่าจริง ๆ เพลงมันไม่เกี่ยวอะไรกับ Adulting เลยก็ตามแต่ lol) แต่ทุกอย่างมันก็ตามนั้นจริง ๆ ครับ ไม่เคยมีใครบอกว่ามันจะง่าย แต่ก็ไม่มีใครเคยเตือนเรามาก่อนเหมือนกันว่ามันจะยากขนาดนี้
แต่ในเมื่อใคร ๆ ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่เข้าสักวัน เพราะเรา Take me back to the start เหมือนในเพลง The Scientist ไม่ได้ เราก็ต้องเรียนรู้กับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปนี้ให้ได้แหละเนอะ? ใช่มั้ย? ใช่แหละ? (ถามใครวะเนี่ย)
ก็ตั้งเป้าไว้ว่า 2022 จะเป็นปีที่เราบริหารจัดการเวลาได้เป็นระบบกว่านี้...
...จะเป็นปีที่เราทำอะไรตาม Passion ได้มากกว่านี้
...จะเป็นปีที่เรารับมือกับความคาดหวังและความล้มเหลวได้เก่งกว่านี้
...และจะเป็นปีที่เราเป็น "ผู้ใหญ่" ที่ดีขึ้นกว่านี้
นั่นแหละครับ New Year's Resolution ของผม หวังว่าผมจะไม่โยนปณิธานลงถังขยะแล้วต้องไปกินบุฟเฟ่ต์ย้อมใจแล้วกันครับ ฮาาา
อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว ทุกคนล่ะครับ มีเป้าหมายสำหรับปีหน้ากันหรือยัง? (ซึ่งการไม่มีมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะครับ อย่างที่บางเพจก็บอกไว้ว่า ไม่คาดหวัง ก็ไม่ผิดหวังเนอะ)
ถ้ามี ก็ขอให้มีไฟที่จะทำมันไปจนสุดทางนะครับ แล้วสิ้นปีหน้าเรามา review ด้วยกัน แหะ ๆ
Happy New Year ล่วงหน้านะครับทุกคน 🙂
**********
Note: เนื่องจากก่อนหน้านี้ ไดอารี่ของผมค่อนข้างจะวนอยู่รอบการอยู่ในเนเธอร์แลนด์เสียมาก ผมขออนุญาตถือว่าบล็อกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในไดอารี่เล่มนี้เลยแล้วกัน โดยผมขอเรียกมันว่า Quarter-Century Man เพราะผมเพิ่งจะอายุ 25 ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ซึ่งก็ดูเป็น milestone ที่ดีในการที่จะเริ่มอะไรใหม่ ๆ (มั้งนะ 5555)
แล้วเจอกันในโพสต์หน้านะครับ (ในอีก 851 วันข้างหน้--- //ผิด)