ความจริงวันนี้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 8 โมงครึ่ง แต่ทำไมสะดุ้งตื่นมาตอน 6 โมงเช้าก็ไม่รู้ = =" วันนี้ผมมีนัดกับจูเลียไว้ตอน 10.15 น. เพราะว่าทาง City Hall (ภาษาไทยเรียกว่าอะไรหว่าาา ศาลากลางมั้ง) นัดให้ผมไปทำเรื่องลงทะเบียนตอน 10.48 น. โดยที่จูเลียบอกว่าจะมารับที่หอพักผม แต่หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตอน 8 โมง จูเลียก็ทักแชทมาบอกว่าเปลี่ยนเป็นให้ผมเดินไปที่ร้านถ่ายเอกสารตอน 9.40 น. เพราะจะได้ถ่ายเอกสารที่ต้องใช้ในการลงทะเบียนที่ City Hall เลย แล้วจูเลียก็ให้ที่อยู่ร้านถ่ายเอกสารมา หน้าที่ของผมคือเอาที่อยู่มากรอกลงใน Google Maps แล้วเดินไปให้ทันนัดแค่นั้นเอง ประเด็นคือเบอร์โทรศัพท์ผมตอนนี้ไม่ได้มีแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตแบบ Unlimited ที่จะเปิดทิ้งเป็ดขว้างได้ ผมก็เลยต้องกดค้นหาที่อยู่โดยใช้ Wi-fi จากหอ แล้วค่อยเดินออกไปโดยใช้ GPS นำ ผมเริ่มออกจากหอไปตอน 9 โมง แต่แค่เริ่มต้นจากหน้าหอก็งงแล้วครับ พอผมเลี้ยวซ้าย GPS บอกว่าผมเลี้ยวขวาซะงั้น ยังดีที่ผมยังถึงร้านถ่ายเอกสารก่อนเวลา ไม่งั้นคงโดนเฉ่งยับ เพราะเท่าที่ดูแล้วคนที่นี่ค่อนข้างตรงเวลาผิดจากที่เคยอ่านในเว็บมาแฮะ ด้วยความที่ผมมาถึงก่อนเวลาประมาณ...
Category: Chapter 1: Netherlands
“บันทึกการใช้ชีวิตของผู้ชายกาก ๆ จากแม่กลอง สู่เนเธอร์แลนด์…”
เศษซากการเขียนบล็อกตั้งแต่บนเว็บไซต์ frozenization.blogspot.com อันน่าอับอาย (แต่ก็ยังอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก) ที่หลงเหลือมาจากปี 2014 ในสมัยที่มีไฟอยากจะเขียนบล็อกเป็นไดอารี่รายวัน (ก่อนจะรู้ว่าตัวเองทำไม่ไหวและยอมแพ้ไปในที่สุด)
สุดท้ายกลายเป็นไดอารี่ (อันสุดแสนจะแหว่ง) ที่บันทึกเรื่องราวที่อยากเล่าตลอด 5 ปี ตั้งแต่เตรียมตัวก่อนเดินทางจนถึงวันสุดท้ายในเนเธอร์แลนด์
Day 1: Goedemorgen Nederlands (สวัสดีเนเธอร์แลนด์)
ทันทีที่ลงมาจากเครื่องบิน ผมสัมผัสได้ถึงอะไรหลายๆอย่าง ทั้งความโล่งใจที่มาถึงด้วยความปลอดภัย ความสวยงามของสนามบินที่ชนะขาดสุวรรณภูมิแน่นอนถ้าวัดที่ความร่มรื่น และอีกหนึ่งสิ่งที่สัมผัสได้ก็คือ ความเย็นครับ อากาศตอนที่มาถึงอยู่ที่ประมาณ 16-17 องศา (ตามการรายงานของกัปตัน) บวกกับลมเย็นๆแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นดีจัง > < นี่ขาดเป็นหน้าร้อนของที่นี่นะเนี่ย 5555 ไม่ถึงนาทีก็มีรถสนามบินมารับจากเครื่องไปส่งตรง Immigration ตอนนั้นก็เกร็งนิดหน่อย เค้าถามว่าจะมาทำอะไร เรียนที่ไหน ผมก็ตอบตามตรงไป แค่นี้ก็ผ่านมาได้ปกติ หลังจากนั้นก็เป็นการรับกระเป๋า ซึ่งบอกตรงๆเลยว่า หลง 5555 ผมก็มัวแต่ดูว่าสติกเกอร์มันเขียนอะไร ซึ่งมันไม่ได้บอกว่ามันจะลงมาสายพานไหน มารู้เอาทีหลังว่ามันจะขึ้นบอร์ดไว้ว่าสายพานไหนเที่ยวบินไหน ของผมเป็นสายพานที่ 15 ก็เดินไปหยิบแบบตามๆเพื่อนร่วมไฟลต์ไปนั่นแหละ ต่อมาก็เดินผ่านตรงศุลกากรว่ามีของต้องสำแดงรึเปล่า ผมก็เดินเข้าช่องที่ไม่แสดงของแบบชิลๆ แต่สายตาเจ้าหน้าที่ที่จ้องมานี่ทำเอาเสียวสันหลังเหมือนกัน ผ่านศุลกากรออกมาก็เป็นพื้นที่ที่เพื่อนๆญาติมิตรหรือไกด์มารอรับผู้โดยสาร ซึ่งผมก็เจอกับคนที่มารอรับผม นั่นก็คือพี่ไนท์ เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นนักเรียนทุน ODOS รุ่น 1 และพี่เตย รุ่นพี่ ODOS 4.1 ที่คุยกันเมื่อ 6 เดือนก่อนจนสนิทและลืมให้ความเคารพไปละ 5555 จากนั้นเราก็ไปนั่งดื่มกาแฟกันแป๊บนึง (อภินันทนาการจากพี่ไนท์ 5555) แล้วก็คุยกันนิดหน่อย...
Frozenize on a Plane: 12 ชั่วโมงกลางเวหา
หลังจากเครื่องบินเทคออฟมาแล้ว ผมรู้สึกเกร็งเล็กน้อย ความรู้สึกหวิวๆเหมือนเล่นรถไฟเหาะไม่มีผิด ยังดีที่เครื่องบินมันไม่เหินตีลังกาด้วย ไม่งั้นช็อกตายคาเก้าอี้ไปแล้ว = =" อย่างว่าแหละ นี่มันเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรก มันก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมด๊าาา (ไม่ได้ป๊อดนะบอกเลย 5555) ระหว่างนั้นทางสายการบินก็มีการสาธิตวิธีการปฏิบัติเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ซึ่งเป็นวีดีโอขึ้นมาบนหน้าจอตรงหน้าเรา (หลังพนักพิงคนข้างหน้า) และแน่นอน เนื่องจากมันเป็นสายการบิน China Airline คลิปวีดีโอเลยโซโล่มาเป็นภาษาจีนซับอังกฤษ และภาษาอังกฤษซับจีนตามลำดับ คือจากที่เข้าใจๆเลยไม่เข้าใจเพราะงี้แหละ ไหนๆจะพูดทั้งสองภาษาละทำไมไม่ขึ้นภาษาให้มันตรงกันฟะะะ -*- พอผ่านช่วงเวลาแห่งการหูอื้อไปแล้ว (คือลืมเอาหมากฝรั่งขึ้นไป ตอนเทคออฟต้องอาศัยการกลืนน้ำลายเป็นสิบๆรอบแก้หูอื้อแทน -.-) ทีนี้ก็ถึงเวลาสำรวจสภาพแวดล้อมกันแล้ว เริ่มที่ผู้โดยสารก่อนแล้วกัน ตำแหน่งที่นั่งของผมคือ 17B โซน 2 (ซึ่งได้บอกไปแล้วว่าจะตรงกับปีกเครื่องบินพอดี และเป็นแถวถัดจากริมหน้าต่าง ติดทางเดิน) ที่นั่งทางซ้ายมือผมที่ติดหน้าต่าง จะเป็นสาวจีนคนนึงที่เอาแต่หลับเกือบตลอดทั้งทาง บางทีก็อยากถามว่าทำยังไงให้หลับ เพราะผมก็ได้แต่หลับๆตื่นๆตลอดทาง ส่วนทางขวาของผมเป็นผู้หญิงที่มากับลูกหน้าตาฝรั่งๆหน่อย (เพิ่งรู้ตอนถึงเนเธอร์แลนด์ว่าเป็นคนไทย) ส่วนด้านหน้านี่เป็นผู้ชายที่ออกเริ่ดๆเชิดๆ ใช่ครับ ผมใช้คำถูกแล้ว เริ่ดๆเชิดๆ อารมณ์ประมาณพวกไฮโซเซเลป แต่ถ้าจำไม่ผิดตอนยื่นพาสปอร์ตเข้าเกท เค้าต่อหลังผมมา ตอนแรกนึกว่าเป็นคนไทย แต่พอมองพาสปอร์ตในมือ อ้าววว ภาษาลาว -.- ส่วนด้านหลังผมนี่ไม่รู้เป็นใครเหมือนกัน...
A Day to Fly: บ๊ายบายไทยแลนด์ (Real-Time)
เนื่องจากวันนี้คงไม่ได้สรุปเขียนเป็นวันๆไปเหมือนทุกที เพราะค่ำนี้คงไม่มีเวลามานั่งกางโน้ตบุ๊คพิมพ์ที่สนามบิน = =" งั้นผมทำไว้แบบเรียลไทม์ละกัน มีอะไรจะอัพเดทตรงนี้เรื่อยๆ จะพยายามอัพจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนเข้าเกต แล้วพอถึงที่นู่นจะเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางละกัน :) 9.07 น. - ตื่นสายนิดหน่อยด้วยอาการสะโหลสะเหล เพราะเมื่อคืนมัวแต่นั่งทำใจไม่ให้กังวล วันนี้แล้วสินะที่จะต้องเดินทาง เฮ้อออ ว่าแต่กระเป๋าสะพายยังไม่ได้จัดเล้ยยย ชิบหอยละ =[]= 9.27 น. - พี่ที่สำนักงาน ก.พ. ไลน์มานัดเจอที่สนามบินตรงชั้น 4 เคาน์เตอร์ S ตอน 4 ทุ่ม ใครว่างๆก็แวะไปได้นะแจ๊ะะะ ^^ 10.05 น. - อาบน้ำเพิ่งเสร็จ ตอนนี้แต่งชุดธรรมดาไปก่อน ไว้ค่อยใส่ชุดไปตอนก่อนออกจากบ้านช่วงค่ำละกัน ความจริงอยากใส่เลยนะ แต่เดี๋ยวโดนหาว่าเห่อ 5555 10.38 น. - นั่งเขียนบล็อกของเมื่อวานให้เสร็จ แม่บอกว่าจะมาตอนเที่ยง ยังพอมีเวลา พิมพ์เสร็จเมื่อไหร่จะได้เก็บโน้ตบุ๊คซะที 10.50 น. - เฮ้ย เรื่องเขียนบล็อกเอาไว้ก่อนละกัน ตอนนี้หิวโฮกกก...
2 Days to Fly: เตรียมตัว เตรียมใจ
วันนี้ผมทำสิ่งหนึ่งที่พลาดมากๆ นั่นก็คือ ตื่นสายครับ -.- เหตุเกิดจากเมื่อคืนเครียดหนัก จากไอ้ความกังวลที่ผมบ่นเมื่อวานนั่นแหละ เลยแก้เครียดด้วยการนั่งพิมพ์บล็อกและโหลดนู่นนี่ลงคอมพิวเตอร์เพื่อให้พร้อมสำหรับการใช้งานที่นู่น (ไม่ได้โหลดบิตนะครับ!!! ขอร้อนตัว เอ๊ย บอกไว้ก่อนเลย) ผลก็คือ ผมเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตี 5 และสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็ปาเข้าไปเที่ยงจนจะบ่ายอยู่แล้ว มันน่าเสียดายเวลา ซึ่งผมควรจะใช้ตอนอยู่ไทยให้เต็มที่ แต่ผมกลับเอาเวลานั้นไปโหลดบิตโหลดโปรแกรมกับนอนซะงั้น T^T วันนี้เป็นวันที่ผมจะต้องเตรียมของให้เรียบร้อยครับ เพราะพรุ่งนี้ผมก็จะต้องไปที่สนามบินเพื่อเตรียมเดินทางแล้ว (บางคนอาจจะสงสัยว่า พรุ่งนี้ยังเป็น A Day to Fly อยู่เลยนี่ คือจะบอกว่าผมบินตอนตี 2 ครับ และผมต้องใช้เวลาอยู่บนนั้น 13 ชั่วโมง เลยจะถือว่าช่วงเวลานั้นคือวันบินครับ) แล้วหลายๆอย่างผมยังไม่ได้เตรียมพร้อมเลย ทั้งชุดที่จะแต่งไป ทั้งของที่จะใส่กระเป๋าขึ้นเครื่อง ไหนจะต้องยัดของทุกอย่างลงกระเป๋าให้หมดให้ได้ แถมตอนนี้ยังซื้อของไม่ครบอีก โอ้ยยย จะบ้าตาย สุดท้ายผมก็คิดได้ว่า ผมจะมารอซื้อของให้ครบก่อนไม่ได้แล้ว ผมเลยตัดสินใจจัดของไปเท่าที่มีก่อน แต่ขนาดแค่จัดก่อนผมก็รู้สึกแล้วว่า "จะยัดไปยังไงหมดวะะะ" ก็ของหลายๆอย่างที่ผมจะขนไป บางอย่างมันก็เอาเข้ากระเป๋าสะพายขึ้นเครื่องไม่ได้ เช่น ของเหลวทั้งหลายอย่างพวกครีมอาบน้ำ ยาสระผม บลาๆๆ เพราะถ้าเค้าเจอเราก็ต้องโยนทิ้ง เสียดายของเปล่าๆ...
3 Days to Fly: วันรวมญาติ
วันนี้ก็ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง คิดว่าถ้าใครมีปฏิทินก็น่าจะรู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญสำหรับคนไทยเชื้อสายจีน นั่นก็คือ วันอาทิตย์นั่นเองงง จะบ้าเรอะ!!! วันสารทจีนต่างหากปัดถ่อววว แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าครอบครัวของผมก็มีเชื้อสายจีน อากงของผมก็จะไปไหว้สารทจีนที่บ้านเหลากง ผมก็เลยถือโอกาสแวะไปหาเหลากงและลาญาติฝั่งแม่ทุกๆคนที่นั่นเลย พอไปถึงปุ๊บ ความรู้สึกที่ผมมีเมื่อผมเห็นบ้านเหลากงคือ ปกติครับ ใช่ครับ คือรู้สึกเฉยๆจริงๆ คือมันไม่มีอะไรน่าประหลาดใจเลย บ้านเหลากงเคยเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยน มันต่างกับตอนที่ผมเคยไปบ้านเก่าของผมเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่มันเปลี่ยนแบบเห็นได้ชัดจนทำให้เราประหลาดใจ แต่นี่ คือแบบ มันเหมือนเดิมทุกอย่าง เลยไม่มีความรู้สึกอะไรเข้ามาในหัวเลย เดจาวูชัดๆ -.- บ้านของเหลากง เป็นบ้านหลังใหญ่ริมคลอง ซึ่งเวลาจะเข้ามาทีนึงต้องจอดรถไว้บ้านญาติที่ติดถนนแล้วนั่งเรือเข้ามา เห็นแบบนี้หลังใหญ่พอดูเลยทีเดียว เมื่อเข้ามาในบ้านเหลากง ก็มีลูกหลานของอากงที่เดินทางกลับมาหาอยู่ข้างในบ้านตามปกติ ซึ่งผมไม่เคยจะไล่ลำดับญาติได้ซักที ทั้งเหลาโก เหลาเจ็ก ไหนจะมีเด็กที่อายุน้อยกว่าแต่เราเรียกว่าอี๊ (น้า) อาจเป็นเพราะเหลากงมีลูกหลานเยอะละมั้ง ขนาดรุ่นหลานยังมีแล้ว 36 คน แล้วผมรุ่นเหลน ตอนนี้มีถึงโหลน นานแล้ว ผมสตั้นทุกครั้งที่พยายามจะนึกว่า คนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเราหว่า ครั้นจะไปนึกต่อหน้าเดี๋ยวเค้าก็จะงอนหาว่าจำไม่ได้อีก (ก็มันจำไม่ได้จริงๆนี่หว่าาา -*-) ผมเคยคิดจะให้ทำแผนผังลำดับญาติด้วยนะ แล้วพอมีงานแบบนี้ทีก็ไล่สวัสดีทีละคน ใครไหว้แล้วก็ติ๊กถูกไว้อะไรแบบนี้ 5555 แต่ถึงแม้วันนี้จะมีเครือญาติมากันเยอะ แต่ก็ยังไม่เยอะเท่ากับวันเกิดเหลากงแต่ละปี ที่ลูกหลานเหลนโหลนเหลากงจะมากันแทบพร้อมหน้า...
4 Days to Fly: เฟรนด์ชิพ
วันนี้ความจริงมีโปรแกรมจะต้องไปเจอรุ่นพี่กับเพื่อนๆกลุ่ม F จากค่าย Econ Firststep 15 เห็นเค้าบอกว่าจะได้เป็นมีตติ้งครั้งสุดท้ายก่อนไป ตกลงกันไว้ซะดิบดี แต่ปรากฏว่าเมื่อวานอยู่ดีๆทุกคนก็บอกว่าไม่ว่างซะงั้น แล้วก็ยกเลิกมีตติ้งไปเฉยเลย T^T (ไหนบอกว่ามาได้ไง ไหนบอกว่าถ้าผมไม่ไปจะเคืองไง แล้วนี่อะไร อุตส่าห์ขอพ่อแม่ได้ละนะ ฟหกด่าสวฟหกด่าสว -3-) ถามว่าโกรธมั้ยบอกเลยว่า "ไม่โก๊ดดด ผมเข้าใจ๊~" แต่ตอนนี้ Left Group ไลน์ละ 5555 (ล้อเล่นนะครัชชช ผมเข้าใจจริงๆ ไว้มีโอกาสคงได้เจอกันนะ ^^) แต่เอาเถอะ ถึงแม้ว่ามีตติ้งจะถูกยกเลิกไป แต่ผมก็ยังมีนัดกับเพื่อนอีกคนนึงด้วย เพื่อนคนนี้ชื่อหญิง ผมเจอเค้าที่การแข่งขัน BOT Challenge & Experience 2013 ของแบงค์ชาติ ซึ่งมันเป็นค่ายด้วย ก็เลยมีโอกาสได้รู้จักกัน (ถึงแม้ว่าตอนเจอกันครั้งแรกจะไม่ค่อยน่าประทับใจก็ตาม แหะๆ = =") แล้วตั้งแต่ตอนนั้นก็เริ่มสนิทกัน คุยกันแทบทุกเรื่อง ทั้งเรื่องครอบครัว สุขภาพ เรียนต่อ ความรัก บลาๆๆ เรียกได้ว่าแทบจะรู้ทุกเรื่องเลยแหละ แล้วพอดีว่าเค้ามีของอยากจะให้ผม...
5 Days to Fly: เรื่องเงิน เรื่อง(ไม่)ง่าย
วันนี้ผมต้องออกจากแม่กลองแต่เช้า เพราะภาระที่ต้องทำในวันนี้มันเป็นอะไรที่ระยะเวลาจำกัด จริงๆก็คงไม่ค่อยจะเดือดร้อนเท่าไหร่ ถ้าโปรแกรมตลอดทั้งวันนี้มีแต่เรื่องเงินล้วนๆ!!! (ฉายาไอซ์หน้าเงินไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะจ๊ะ -.-) ด้วยความเร่งรีบนี่แหละทำให้ช่วงเวลาสุดท้ายในแม่กลองก่อนไปนี่ไม่มีความทรงจำอะไรเก็บไว้เลย ไม่มีรูป ไม่มีการเดินสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ แอบเสียดายเบาๆนะเนี่ย = =" ผมนั่งรถตู้ออกจากแม่กลองตอนประมาณ 9 โมง (ไหนบอกว่าเช้า นี่เช้าเอ็งแล้วเรอะะะ -*-) ไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตอน 10 โมงครึ่ง หลังจากนั้นก็นั่งรถเมล์สาย 97 ต่อ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่สำนักงาน ก.พ. นนทบุรี (Again&Again แต่คิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปแล้วหล่ะ) เพื่อไปรับเช็คเงินส่วนสุดท้ายที่เพิ่งจะออกนั่นเองงง เฮ้~~~ //ดีใจแบบกร่อยๆ ความจริงก็นั่งรถแบบกล้าๆกลัวๆ เพราะปกติเวลาจะไปสำนักงาน ก.พ. แต่ละทีจะนั่งรถจากแถวๆหอไป ไม่เคยนั่งจากอนุสาวรีย์ไปมาก่อน ถ้าใครสังเกตสายตาผมบนรถจะเห็นได้ชัดเลยว่ามันล่อกแล่กอย่างมาก เพราะต้องคอยระแวงว่ารถขับเลยสำนักงานไปรึยัง ถ้าไม่ได้รับเงินภายในวันนี้นี่หมายความว่าเงินก้อนนั้นจะสูญไปเลย พรุ่งนี้ก็ติดเสาร์อาทิตย์ จันทร์อังคารก็วันหยุดราชการ เลยซีเรียสนิดหน่อย สุดท้ายกว่าจะถึงสำนักงานก็ปาเข้าไปเที่ยงครึ่งแล้ว สรุปนั่งรถรวมๆกัน 3 ชั่วโมงครึ่ง ถึงเหน็บกินก้นเลยทีเดียวเชียว =.,= (บางทีก็สงสัยว่าทำไมสำนักงาน ก.พ. ต้องมาตั้งในที่ไกลๆแบบนี้ฟะะะ มันเดินทางลำบากนะเฟ่ยยย -3-) พอไปถึงผมก็ขึ้นไปรับเช็คจำนวน...
6 Days to Fly: วันสุดท้ายในแม่กลอง
อย่างที่ได้บอกไปว่า ผมกลับมาที่แม่กลองตั้งแต่เมื่อคืนวาน โดยจุดประสงค์หลักครั้งนี้ก็เพื่อกลับมาลาอาจารย์ที่โรงเรียนศรัทธาสมุทรอันเป็นที่รักยิ่ง (คิดว่าคงไม่ได้ใช้คำเว่อร์จนเกินไป ผมรักก็บอกว่ารัก เข้าใจตรงกันนะ 5555) เพราะวันนี้เป็นวันเดียวที่จะสามารถกลับมาที่โรงเรียนได้ พรุ่งนี้มีโปรแกรมต้องไปแลกเงิน หลังจากนี้โรงเรียนก็หยุดยาวจนกระทั่งวันบิน ก็เลยตัดสินใจมาวันนี้เลยดีกว่า แต่ไหนๆจะมาแถวแม่กลองครั้งสุดท้ายทั้งที เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยวก็ขอทำอย่างอื่นด้วยเลยแล้วกัน เช้านี้น้องของผมไม่ได้ไปโรงเรียน เห็นเค้าบอกว่าพี่ไอซ์จะอยู่ที่แม่กลองวันสุดท้ายแล้ว ขอหยุดมาอยู่กับพี่ไอซ์แล้วกัน (ไม่รู้ว่ามันรักผมจริงๆหรือเป็นข้ออ้างหยุดเรียนกันแน่ =.,=) พวกเรา 4 คนพ่อแม่ลูกก็เลยเริ่มต้นวันด้วยการพาผมไปไหว้ลาหลวงพ่อสัมฤทธิ์ที่วัดนาโคก เพราะอย่างน้อยผมก็ใช้เวลากว่า 5 ปีอยู่ในละแวกนี้ จะว่าไปผมก็ไม่ได้แวะเข้าวัดจริงๆจังๆมานานมากกกกก ขนาดพ่อยังแซวว่า ไม่ได้เข้าวัดนานรู้สึกร้อนบ้างมั้ย = =" ถ้าผมเข้าวัดแล้วมันร้อนจริงๆ วันนี้ก็คงเป็นวันที่เนื้อผมสุกเกรียมกำลังกินแล้วหล่ะ เพราะหลังจากนั้นพ่อแม่ก็พาผมมาไหว้ลาหลวงพ่อบ้านแหลมที่วัดเพชรสมุทรวรวิหารต่อเลย จากที่ผมทราบมา คนแม่กลองจะนับถือและศรัทธาหลวงพ่อบ้านแหลมอย่างมาก ครอบครัวของผมซึ่งตอนนี้กลายเป็นพลเมืองแม่กลองเต็มตัวเลยถือโอกาสมานมัสการเช่นกัน พูดถึงวัดเพชรแล้ว ความจริงผมก็มีความผูกพันกับวัดนี้เหมือนกันนะ ตอนที่เข้าม.1 ใหม่ๆ ผมดูเด่นเตะตาอาจารย์อารีก็เพราะวัดเพชรนี่แหละ เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนผมเข้าม.1 ผมเพิ่งมาจากกรุงเทพ เลยยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสมุทรสงครามเลย แล้วผมก็ได้มีโอกาสเข้าค่ายมดแดงซึ่งมีอาจารย์อารีเป็นผู้ริเริ่ม (เรียกว่าแกนนำก็ได้ 5555) ทีนี้ตอนประชุมค่าย มีการนัดหมายให้ไปเจอกันที่ลาดวัดเพชร ผมก็ยกมือขึ้นแล้วถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "อาจารย์ครับ ลานวัดเพชรอยู่ไหนครับ?" สร้างเสียงหัวเราะให้แก่เพื่อนร่วมค่ายอย่างสนุกสนาน = ="...
7 Days to Fly: บ้านแห่งความทรงจำ
วันนี้ผมต้องตื่นแต่เช้าอีกเช่นเคย เพราะเช้านี้ผมต้องออกไปซื้อ "ชุดราชปะแตน" ที่พาหุรัดกับแม่และอากง ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าซื้อไปให้ใครใส่ ซื้อไปให้ผมใส่เองเนี่ยแหละ = =" (พี่ที่สำนักงาน ก.พ. แนะนำว่าควรเอาชุดไทยไปซักชุดเพื่อใส่ไปร่วมงานสถานทูต และเผยแพร่วัฒนธรรมในฐานะนักเรียนทุนรัฐบาลนะแจ๊ะ) บอกตรงๆว่าเป็นครั้งแรกที่ใส่อะไรแบบนี้ ซึ่งมันดูไม่ค่อยเข้ากับหน้าตาและสภาพ ณ ตอนนั้นซักเท่าไหร่ (ผมเผ้าไม่ตัด หนวดก็ไม่ได้โกน หยั่งกะโจรป่า -.-) ฉะนั้น ขออนุญาตไม่ถ่ายรูปมานะแจ๊ะ แหะๆ แต่ช่างมันเถอะ เพราะไฮไลต์ของวันมันหลังจากนี้ตะหาก เพราะหลังจากไปซื้อชุดแล้ว ผมก็ได้มีโอกาสได้กลับบ้านเก่าซะที ^^ แหน่ะๆ รู้นะคิดอะไรอยู่ อย่าเข้าใจผิดครับ ผมยังไม่ตาย ปัดถ่อววว!!! ผมหมายถึงบ้านที่กรุงเทพที่ผมใช้ชีวิตอยู่ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 12 ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่สมุทรสาคร และสมุทรสงครามตามลำดับ (เยอะเนอะ -.-) บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในชุมชนที่เรียกกันว่า บางกระดี่ ซึ่งตั้งแต่ผมย้ายออกมา ผมก็แทบไม่ได้เข้าไปที่นั่นเลย (และตอนนี้มันก็ถูกธนาคารประกาศขายอยู่ด้วย TT) รวมถึงไม่ได้เจอย่าแท้ๆของผมที่อยู่ที่นั่นเช่นกัน ฉะนั้น นี่จะเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่ผมจะได้กลับบ้าน เจอย่า และผมก็จะถือโอกาสนี้ลาไปเรียนต่อด้วยเลย พอเริ่มเลี้ยวเข้าบางกระดี่ ผมรับรู้ได้ถึงความเจริญที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่คิดว่าระยะเวลา...
8 Days to Fly: ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว(?)
วันนี้ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ซึ่งต้องบอกเลยว่าผมตื่นมาแบบสะโหลสะเหลมาก @_@ เพราะเมื่อคืนเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตี 1 ทั้งจากฤทธิ์ยาถ่ายที่บลานุภาพแข็งแกร่งข้ามคืน และอาการเครียดจากการนั่งคำนวณเงินค่าใช้จ่ายช่วงที่จะไปถึงที่เนเธอร์แลนด์ด้วย เลยทำให้ผมเริ่มต้นเช้านี้แบบไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร ผมออกเดินทางไปที่โรงพยาบาลพร้อมกับแม่และน้า โดยไปถึงที่นั่นประมาณ 7.15 น. ซึ่งผมคิดว่าเร็วมากพอ (ก็ในใบนัดเขียนนัดไว้ 8.00 - 9.00 น. นี่หว่า = =") แต่พอไปถึงห้องส่องกล้องแล้ว ปรากฏว่า มีคนมารออยู่ก่อนแล้วเกือบสิบคิว แม่เจ้าาา แถมแต่ละคนที่มาส่องกล้องก็มีแต่คนสูงอายุทั้งนั้น มีเราเป็นวัยรุ่นอยู่คนเดียว ลุงป้าน้าอาทั้งหลายก็เลยมองเราด้วยสายตาแปลกๆประมาณว่า "มึงมาที่นี่ทำไวะ?" แต่อย่าคิดว่าการไป 7 โมง 15 จะทำให้อะไรๆเร็วขึ้น เพราะกว่าพยาบาลจะเรียกชื่อผมก็ปาเข้าไป 10 โมงแล้ว!!! แล้วไอ้ความรู้สึกระหว่างที่รอเรียกคิวแล้วเห็นลุงๆป้าๆแต่ละคนทยอยโดนเรียกเข้าไปแล้วมันหงุดหงิดอย่างแรง ทำไมไม่ถึงคิวซะทีวะ จนผมบ่นกับแม่ว่าจะไม่ตรวจแล้วด้วยซ้ำไป แต่แม่ตอบกลับมาว่า "อุตส่าห์อดข้าวอดน้ำ ถ่ายท้องมาแล้ว อยากทำฟรีก็ตามใจ" นั่นแหละผมถึงใจเย็นลงได้ (ใครจะบ้ายอมให้การยอมท้องเสียเกือบครึ่งคืนสูญเปล่าฟะะะ) พอพยาบาลเรียกผมเข้าไปซักอาการ ก็มีการแจ้งค่าใช้จ่ายในการรักษาว่าประมาณ 7000-10000 บาท (ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายจริงๆมันเท่าไหร่ ถามแม่แม่ก็ไม่ยอมบอก...
9 Days to Fly: ช่วงเวลาที่แสนทรมาน
จากที่ได้บอกไปในไดอารี่วันก่อนๆแล้วว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันที่หมอนัดตรวจร่างกายผมเพิ่มเติม (อีกแล้ว) และมีคำสั่งให้กินแต่อาหารอ่อนตลอดเมื่อวานนี้ และกินแต่ของเหลวในวันนี้ ก็ตามชื่อเรื่องวันนี้เลยครับ มันเป็นช่วงเวลาที่โคตรจะทรม๊านนน ทรมานจริงๆ แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องตรวจร่างกายซ้ำหลายๆรอบ ฉะนั้น ก่อนที่จะเล่าถึงเหตุการณ์วันนี้ จะขอเท้าความถึงจุดเริ่มต้นของความทรมาณนี้ก่อนละกัน เรื่องมันเริ่มเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน เป็นวันที่ผมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ตามระเบียบนักเรียนทุน ซึ่งการตรวจก็เป็นไปด้วยดี และเสร็จเรียบร้อย... จนกระทั่งมีโทรศัพท์จากสำนักงาน ก.พ. โทรมาแจ้งผมเมื่อไม่นานมานี้ว่าผลตรวจออกมาปกติ แต่!!! พบเลือดและเม็ดเลือดขาวปนในอุจจาระ เลยแนะนำให้ไปตรวจซ้ำและรักษาก่อนไป ซึ่งทาง รพ. ก็บอกว่า แค่ตรวจซ้ำก็จบแล้ว (มั้ง) ทีนี้ พอผมไปตรวจซ้ำปรากฏว่ายังพบเลือดอยู่เหมือนเดิม หมอก็เลยอยากตรวจดูว่าเลือดมันมาจากไหนและเพราะอะไร ซึ่งพอพบเลือดในอุจจาระแบบนี้ ร้อยละ 90 คงคิดเหมือนกันว่า "ริดสีดวง" แหงๆ -.- แต่พอตรวจแล้ว มันไม่มีริดสีดวงไง ไม่เจอเลย เอาละสิ แล้วเลือดมันมาจากไหน คราวนี้เลยโดนส่งตัวย้ายจากแผนกอายุรกรรมมาเป็นศัลยกรรม (ไม่ได้มาทำหน้านะเฟ่ยยย = =") เพื่อซักประวัติและตรวจภายใน ซึ่งในครอบครัวผมมีคนที่เป็นมะเร็งลำไส้มาก่อน คืออากงของผม และไอ้อาการถ่ายเป็นมูกและมูกปนเลือดเนี่ย ก็เป็นอาการหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ของโรคมะเร็งลำไส้ซะด้วยสิ ก่อนหน้านี้ผมถามหมอว่า...